รัชกาลที่ 3
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครองราชย์ พ.ศ. 2367 - 2394 (27 ปี)
ข้อมูลพื้นฐาน
พระนาม: พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชสมภพ: 31 มีนาคม พ.ศ. 2330
ขึ้นครองราชย์: 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367
สวรรคต: 2 เมษายน พ.ศ. 2394
ข้อมูลสำคัญ
พระมหากษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี
ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระศรีสุราลัย (เจ้าจอมมารดาเรียม)
ผู้กำกับราชการหลายกรม
ในปี พ.ศ. 2365 ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ กำกับราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมพระตำรวจว่าการฎีกา
พระราชาผู้ทรงพาณิชย์
ทรงรับพระราชทานให้แต่งสำเภาหลวงออกไปค้าขายยังเมืองจีน จึงได้รับพระสามัญญานามว่า "เจ้าสัว"
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระศรีสุราลัย (เจ้าจอมมารดาเรียม) ประสูติ ณ วันจันทร์ เดือน 4 แรม 10 ค่ำ ปีมะแม ตรงกับวันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2330 มีพระนามเดิมว่า "พระองค์ชายทับ"
ก่อนขึ้นครองราชย์
พ.ศ. 2365 - พระองค์ชายทับ ได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ กำกับราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระตำรวจว่าการฎีกา นอกจากนี้ยังได้ทรงรับพระกรุณาให้แต่งสำเภาหลวงออกไปค้าขาย ณ เมืองจีน พระองค์ทรงได้รับพระสามัญญานามว่า "เจ้าสัว"
การขึ้นครองราชย์
ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 2 ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต โดยมิได้ตรัสมอบราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสองค์ใด พระบรมวงศานุวงศ์และบรรดาเสนาบดีผู้เป็นประทานในราชการจึงปรึกษากัน เห็นควรถวายราชสมบัติแก่พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ อันที่จริงแล้วราชสมบัติควรตกแก่เจ้าฟ้ามงกุฎ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เพราะเจ้าฟ้ามงกุฎ เป็นราชโอรสที่ประสูติจากสมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลที่ 2 โดยตรง ส่วนกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นเพียงราชโอรสที่เกิดจากเจ้าจอมเท่านั้น โดยที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งพระราชหฤทัยไว้แล้วว่าเมื่อสิ้นรัชกาลพระองค์แล้วจะคืนราชสมบัติให้แก่สมเด็จพระอนุชา (เจ้าฟ้ามงกุฎ) ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงสถาปนาพระบรมราชินี คงมีแต่เจ้าจอมมารดาและเจ้าจอม
พระราชกรณียกิจสำคัญ
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งด้านการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะการทำนุบำรุงประเทศและการก่อสร้างบ้านเมือง
- ด้านการปกครอง:
• ลักษณะการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังคงเป็นแบบอย่างที่สืบทอดมาจากสมัยอยุธยาและกรุงธนบุรี คือ การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของการปกรองประเทศ ทรงเป็นประมุขผู้พระราชทานความพิทักษ์รักษาบ้านเมืองให้ปลอดภัยตำแหน่งรองลงมา คือพระมหาอุปราช ซึ่งดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เช่นเดียวกับในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
• ตำแหน่งบังคับบัญชาในด้านการปกครองแยกต่อมา คืออัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร คือ พระสมุหพระกลาโหม ฝ่ายพลเรือน คือ สมุหนายก ตำแหน่งรองลงมาเรียก เสนาบดีจตุสดมภ์ คือ เสนาบดีเมืองหรือเวียง กรมวัง กรมพระคลัง และกรมนา
• ส่วนการบริหารราชการแผ่นดิน ยังคงจัดแบ่งออกเป็นหัวเมืองชั้นนอก หัวเมืองชั้นใน และหัวเมืองประเทศราช ดังที่เคยปกครองกันมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการแบ่งการปกครองในลักษณะนี้ก่อให้เกิดปัญหาในการปกครองหัวเมืองประเทศราช เช่น ลาว เขมร และมลายู เพราะหัวเมืองเหล่านี้พยายามหาทางเป็นเอกราช หลุดจากอำนาจของอาณาจักรไทย - ด้านการทำนุบำรุงประเทศ:
• ในสมัยรัตนโกสินทร์ เน้นหลักไปในด้านการก่อสร้างบ้านเมือง ตลอดจนการขุดลอกคูคลอง สร้างป้อม สร้างเมือง ฯลฯ เพราะอยู่ในระยะการสร้างราชธานีใหม่ และพระมหากษัตริย์ในสามรัชกาลแรกทรงยึดถือนโยบายร่วมกันในอันที่จะสร้างบ้านเมืองให้ใหญ่โตสง่างามเทียบเท่ากับกรุงศรีอยุธยา นับตั้งแต่การสร้างพระบรมมหาราชวัง วัดวาอารามต่าง ๆ เป็นต้น
• ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วัตถุสถานต่าง ๆ ที่สร้างมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ทรุดโทรมลงเป็นอันมาก พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ อาทิ พระบรม มหาราชวัง และวัดวาอารามต่าง ๆ และยังทรงเป็นพระธุระในการขุดแต่งคลองเพิ่มเติม คือ คลองสุนัขหอน คลองบางขุนเทียน คลองพระโขนง และคลองแสนแสบ (คลองบางขนาก) - พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก:
ในการพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มี "พระราชโองการปฏิสันถาร" ในการเสด็จมหาสมาคม ซึ่งโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนเข้าเฝ้าเพื่อรับการถวายราชสมบัติ จากนั้นจึงมีพระราชโองการตรัสปฏิสันถารกับเจ้าพระยาและพระยาทั้งปวง ซึ่งมีข้อความว่า: "เจ้าพระยา และพระยา ของซึ่งถวายทั้งนี้ จงจัดแจงบำรุงไว้ให้ดี จะได้รักษาแผ่นดิน" ข้อความนี้มีเนื้อหาเดียวกันทุกรัชกาล ต่อมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ยกเลิกพิธีส่วนนี้ มีแต่เพียงการถวายพระพรชัยมงคลจากขุนนางฝ่ายหน้าและขาทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายในเท่านั้น